
พ่อแม่หลายคนชอบช่วยเหลือลูกอยู่ตลอดเวลา เพราะกังวลว่าลูกจะทำอะไรหลายๆอย่างได้ไม่ดีพอ
แต่คุณรู้ไหมว่าการทำแบบนี้ จะเป็นการทำให้ลูกของคุณ กลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
วันนี้มีงานวิจัยเผยว่า 3 ข้อที่หากแม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หรือมีส่วนช่วยเหลือลูกๆได้น้อยที่สุด
จะส่งผลดีกับลูกมากที่สุด
1.แม่ต้องขี้เกียจขยับมือสอนให้ลูกเรียนรู้จักพึ่งพาตนเอง
คุณแม่กุ๊กเผยประสบการณ์ว่า เธอจะไม่เข้าไปช่วยลูกในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เอง
เช่น เมื่อห้องนอนของกุ๊กไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แม่จะเตือนกุ๊กว่า
ควรจัดห้องอย่างไรเพื่อให้เป็นระเบียบ แต่จะไม่เข้าไปทำให้ลูกเอง เธอปล่อยให้ลูกได้ทำด้วยตัวเอง
ช่วงเปิดภาคเรียน คุณครูขอให้นักเรียนห่อปกหนังสือเรียนเล่มใหม่ของเทอมนี้
แต่กุ๊กทำไม่เป็น แม่จึงสอนกุ๊กห่อ 1 เล่มก่อนเป็นตัวอย่างให้กุ๊กดู จากนั้นก็ปล่อยให้กุ๊ก
ลองทำเองทั้งหมดกุ๊กไม่อย ากห่อเอง จึงไม่ยอมขยับมือ แม่ก็ไม่สนใจ
เธอได้แต่ยืนอยู่ข้างๆพร้อมชี้นิ้วบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เข้าไปช่วยห่อ
ทำให้กุ๊กต้องนั่งห่อเองทั้งหมด แม่ของกุ๊กบอกว่า“ความจริงถ้าฉันจะเข้าไปช่วยห่อจะประหยัดเวลาได้มาก
แต่กุ๊กจะไม่มีวันเรียนรู้ที่ห่อปกหนังสือเองได้เลย ดังนั้นนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด
คือปล่อยให้กุ๊กห่อเองแม้ว่าจะห่อไม่เรียบร้อยก็ตาม”
ประสบการณ์ของครูพบว่า:“แม่ขี้เกียจ” ไม่เคยขยันหมั่นเพียร ในการช่วยเหลือลูก ในการทำสิ่งต่างๆ
แต่ให้ลูกทำเอง เพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ และไมเฉยเมยต่อการฝึกฝน
สร้างความรับผิดชอบให้กับลูก
2.แม่ต้องขี้เกียจบ่นหรือพูดมากให้ลูกเรียนรู้ที่จะเติมโตด้วยตนเอง
พ่อแม่หลายคนชอบสร้าง ความคาดหวังในตัวลูกมากเกินไป อย ากให้ลูกทำตามสิ่งที่ตัวเองนั้น
ต้องการเพราะคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูก แต่การทำแบบนี้ จะทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดกดดัน
และกลายเป็นไม่อย า กฟัง และทำเป็นหูทวนลม ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่แม่พูด แต่มีครอบครัวหนึ่ง
ที่กลับทำตรงกันข้าม ในช่วงสุดสัปดาห์ต้นเล่นเกมเป็นเวลานานมาก
และไม่ทำการบ้านแม่จึงถามเขาว่า…“ลูกกะจะเล่นเกมถึงกี่โมง…?”
ต้นตอบว่า:“ขอเล่นอีก 10 นาที”
แม่ตอบกลับไปว่า…“โอเคต้องรักษาคำพูดนะ”
พอผ่านไป 10 นาที แม่ก็เดินกลับมาดูอีกต้น ก็ยังคงนั่งเล่นอยู่ที่เดิม แม่โกรธมากแต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์
และพูดอย่างใจเย็นว่า…“ปกติลูกเป็นคนรักษาคำพูดไม่ใช่หรอ…?” ในตอนนั้นต้นเริ่มรู้สึกผิด
จากนั้นก็เดินไปปิดสวิทช์และรีบไปทำการบ้านทันที…!! นั้นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้
แม่ของต้นเคยพูดหลายรอบ เกี่ยวกับนิทานเรื่อง“การเป็นคนน่าเชื่อถือ” และนั้นก็ทำให้ต้น
ค่อยซึมซับเข้าไปในจิตใจปกติ แม่จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับการอ่ านหนังสือ
ทบทวนตำราเป็นอย่างมาก จึงได้ซื้อนิทานสร้างแรงบันดาลใจให้อ่า นมากมาย
และจากนิทานเหล่านี้ ทำให้ต้นเรียนรู้ที่จะนำมาใช้กับตนเอง เสริมสร้างการควบคุมนิสัยของตนเอง
การอดทนอดกลั้น ด้านจิตตานุภาพ เพื่อให้ตนเอง เป็นคนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ของครูพบว่า:“แม่ขี้เกียจ”ไม่ขยันที่จะบ่นทั้งวันแต่ใช้เหตุผล ในการพูดคุย
เพราะเธอรู้ดีว่า ลูกไม่ชอบการบ่น แต่เธอขยันในการหาวิธีในการรับมือ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึก
และคุณภาพที่ดีเยี่ยมให้ลูก
3.แม่ต้องขี้เกียจไม่เข้าไปช่วยลูกทำการบ้าน
มีคุณแม่คนหนึ่ง เล่าประสบการณ์ว่า ตนเองไม่เคยไปสอนการบ้านให้ลูกชายเลย
แม่จะเตือนลูกมากกว่า ว่าเวลาไหนควรไปทำการบ้านได้ แล้วเมื่อทำเสร็จแล้ว
ก็บอกแม่คำหนึ่งก็พอ ส่วนการตรวจสอบว่า ลูกชายทำถูกหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของตัวเขาเอง
หรือให้เรียนรู้ว่า ถูกหรือผิดจากที่โรงเรียน แม่มีหน้าที่แค่เซ็นชื่อเท่านั้น ในตอนแรก
ลูกชายไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยบอกว่า“แม่ของคนอื่นจะช่วยตรวจการบ้านให้ด้วยทำไมแม่ขี้เกียจแบบนี้…?”
เธอตอบลูกชายไปว่า…“ไม่ใช่เพราะแม่ขี้เกียจหรอกนะ ลูกคิดดูสิ..!!หากแม่ช่วยลูก ตรวจการบ้าน
แล้วลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าผิดตรงไหนบ้าง แล้วต่อไปลูกจะตรวจเองเป็นไหม…?ตอนสอบหากผิด
ลูกจะรู้ไหมว่ามันผิดตรงไหน จงจำไว้นะว่าในตอนนั้น ไม่มีใครสามารถมาช่วยลูกตรวจข้อสอบได้
ลูกจะได้ฝึกการตรวจความถูกต้องและเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ในห้องเรียน ลูกจะเจอบทเรียนก่อน
และจึงจะได้ทำข้อสอบแต่…ในโลกแห่งความเป็นจริง ลูกจะได้เจอบททดสอบก่อน
แล้วถึงจะได้บทเรียน นี่คือสิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ ให้ได้มากที่สุด เธอสอนให้ลูกรู้จักพึ่งตนเอง
เมื่อพบเจอปัญหาก็ต้องคิดใคร่ครวญ เองหากคิดไม่ออกจริงๆ ค่อยถามแม่
หรือขอคำแนะนำจากแม่ได้ประสบการณ์ของครูพบว่า: “แม่ขี้เกียจ”ไม่เคยชี้นำลูก
ให้เรียนรู้ แต่ปล่อยให้ลูกทำอย่างอิสระ และคิดอย่างอิสระ แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
เธอยังให้ความสนใจกับลูก และใช้วิธีการที่ชาญฉลาด เพื่อช่วยแก้ปัญหา
เมื่อลูกมีปัญหา มันสอนให้รู้ว่า ผู้ปกครองควรที่จะปล่อยลูกของตัวเองบ้าง
ในเวลาที่สมควร ให้เขาได้เรียนรู้และใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ สิ่งที่ตัวอย่างแม่ๆทั้งหลายทำนั้น
มันเป็นวิธีในการปลูกฝังลูกน้อยที่ดีมาก เพื่อให้เขาสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง
และช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ทุกคนมักจะกังวลกับลูกจนไม่กล้าปล่อย
ให้ลูกได้เรียนรู้และทำอะไรด้วยตัวเขาเอง คุณควรเอาความกังวล เก็บไว้ในใจ
และปล่อยให้เขาโบยบินไป ด้วยวิธีของเขาเอง เพื่อให้เขามีปีกที่แข็งแรง
พอและอยู่ได้ด้วยตัวเองในวันที่ไม่มีคุณปกป้อง
ถ้าอย ากให้ลูกเป็นคนใจเย็น ให้ฝึกการรอคอย
ถ้าอย ากให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง เป็นให้ลูกได้ลองลงมือปฎิบัติ
ถ้าอย ากให้ลูกพูด เพราะและมีมารย าท ต้องทำให้ลูกเห็นทุกวัน
ถ้าอย ากให้ลูกมีวินัย พ่อแม่ต้องรู้จักรักษาคำพูด
ถ้าอย ากให้ลูกแก้ปัญหา ได้ให้ฝึกให้เจอปัญหาบ่อยๆ
ถ้าอย ากให้ลูกกล้า แสดงความคิดเห็น ให้ฝึกถามเพื่อให้ลูฏ
กล้าแสดงความคิดเห็น
ขอขอบคุณ lifebeeper