
ตอนที่ยังเป็นเด็ก นักเรียนหลายคนต่างเชื่อเสมอว่า ถ้าได้ตั้งใจเรียน สอบติดคณะที่ใช่
ยิ่งมีโอกาสได้งานที่ดี เงิ นเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพ ที่ใครก็รู้จัก เช่นข้าราชการ,วิศวกร,นักธุรกิจ
ยิ่งน่าภูมิใจไปใหญ่ เพราะนอกจากเงิ นเดือน ที่ได้สมน้ำสมเนื้อ มีจำนวนมากพอ
ที่จะจุนเจือครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้สุขสบาย ยังเป็นอาชีพที่ถือว่า
“มีหน้ามีตา”ใครก็ต้อนรับกันหมด แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว อาชีพที่“มีหน้ามีตา”
ในสังคม ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป และในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัคร
แต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ! “แล้วจะเรียนไปทำไม ถ้าสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/งานที่น้อยคนจะรู้จัก/
เงิ นเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไร?” คำถามนี้จะได้คำตอบที่เครียดมากเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ที่คิดว่า“เรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต” แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นความคิด“ฉันทำงานอะไรก็ได้
ไม่ว่าจะตรงสาย หรือไม่ก็ตาม” มันอาจดูประโยคขี้แพ้ ในสายตาบางคน แต่ถ้าคิดๆดูแล้ว
มันได้ความสบายใจเยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรก เพราะความเป็นจริงของชีวิตคือ
1.มนุษย์ทุกคน มีความสามารถในตัวเอง “แตกต่าง”กันไป เราไม่จำเป็น
ต้องเก่งเหมือนกันหมด
2.แม้แต่ในคนเดียวกัน ยังมีความสามารถที่หลากหลาย เช่น เป็นหมอ แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง
ทำอาหารเก่ง เป็นศิลปินแต่ก็คำนวณเก่งขับรถเก่ง
3.สิ่งที่เรา“เก่ง” ไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปแบบวิชาชีพ เช่น หมอ,วิศวกร,พย าบาล
มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ ที่เราเอาจริงกับมัน เช่น การทำอาหาร,การจัดสวน,การออกแบบ
(ไม่อย่างงั้นเราคงไม่เห็นนักธุรกิจหน้าใหม่ หลายคนผุดขึ้นเป็นด อกเห็ดหรอก)
4.สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อย กว่าวิชามันคือ“การหล่อหลอม” หลายวิชาไม่ได้สอนเราทางตรง
แต่ให้เราค่อยๆซึมซับข้อดี แต่อย่างไปเอง เช่น ฝึกความอดทน,ฝึกความประณีต,
ฝึกทักษะการเข้าสังคม ในครั้งหนึ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์ ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย
มันก็ต้องมีบ้างแหละ ที่เรานึกอะไรขึ้นมา จนต้องไปหาอ่า นปัดฝุ่นตำราอีกครั้ง ทุกความรู้ที่เราได้รับ
ไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเองลองนึกดูให้ดีสิ!
5.ในรั้วโรงเรียน-มหาวิทย าลัย ต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน
ขอบเขตความรู้ มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้น โลกของวัยผู้ใหญ่ ที่โตขึ้น
เรายังต้องรู้เห็นอีกมาก เรียนรู้กันอีกย าว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะ ดังนั้น
จะมาฟั นธงว่า เรียนมาสายวิทย์ ต้องทำงานสายวิทย์
เรียนสายภาษาต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป
6.มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่“ใช่”
ค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆปรับตัวไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในตอนนี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด
สิ่งที่เราเก่งในตอนนี้ ในวันข้างหน้ามันอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำ เพราะอาจมีหลายปัจจัยให้คิดมากขึ้น
เช่น จำเป็นต้องพับโครงการ เรียนต่อเอาไว้ เพราะเงิ นไม่พอ จำเป็นต้องทำงานหาเ งินก่อน
แล้วค่อยไปเรียนศิลปะที่เราชอบ…เราต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย (ความจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง)
7.มนุษย์เราควรมีทางเลือกให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ“มีแผนสำรอง” เพื่อไม่เป็นการปิดกั้นตัวเองจนเกินไป
เช่น ถ้าวุฒิที่เราเรียนมา มันหางานย าก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้หางานไปก่อน? ถ้าเราไม่ได้อาชีพนี้
เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?…ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ดั่งใจในทันที
มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่ต้องแลกกับความเหนื่อย ความพย าย ามหลายเท่าตัว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หากจะพบว่าทำไมหมอบางคน ถึงแต่งเพลงได้?
ทำไมบางคนเรียนวิชาชีพ แต่มาเป็นศิลปิน?ทำไมบางคน เรียนไม่จบแต่ประสบความสำเร็จ?
ถ้ายังไม่เข้าในในข้อนี้ ลองย้อนกลับไปอ่ านข้อ 6 อีกรอบ ขึ้นชื่อว่า“ความรู้” เราได้รับมา
ถึงจะไม่ใช้ในทันที ก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า“ความฝัน”ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้ ใช่ว่าวันหน้า
จะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ว่า“รู้ตัวดีหรือไม่ ว่าทำอะไรอยู่?” และ“พร้อมจะยืดหยุ่น
กับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า?”อย่าลืมว่า โลกเรากลม และมีหลายมิติ
ใช่ว่าจะต้องมองเพียงด้านเดียว
ที่มา : jeeb