
ว่าการเป็นโสด ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เสมอไป อย่างเรื่องราว
ของอาหนิงนิรุตติ์ศิริจรรย า ผู้ที่ต้องลาจากกับภรรย าไป
โดยไม่ทันได้กล่าวลาสักคำ ผู้ครองตัวเป็นโสดมานาน
ตั้งแต่ไม่มีภรรย า และเรื่องราวต่อไปนี้ คือสิ่งที่อาหนิง
วิธีที่อยู่คนเดียวได้แบบมีความสุข ช่วงเวลาที่ได้นั่งนิ่งๆ
มองดาวบนฟ้าเงียบๆเพียงลำพัง
ที่“ไร่ทองจันทร์” กลับนำความสุขใจ มาให้เขาอย่างประหลาด
คุณนิรุตติ์ศิริจรรย า หรือที่ใครต่อใครเรียกขาน ด้วยความเคารพว่า
อาหนิงได้หลีกเร้นหนีความวุ่นวาย ของเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิต
ที่บ้านไร่ในจังหวัดจันทบุรี มากว่าห้าปีแล้ว
หลังต้องสูญเสีย คุณอรวรรณ ศิริจรรย าภรรย า
ผู้เป็นที่รักจากอุบัติเหตุเมื่อปี 2539 เขาก็เดินทาง
ไปอยู่ต่างประเทศนานถึงหกปีก่อนจะกลับมาโลดแล่น
อยู่ในวงการบันเทิงเมืองไทยอีกครั้ง และครองตัวเป็นโสดตลอดมา
ระหว่างการสัมภาษณ์ทุกคำถาม ถูกตอบอย่างตั้งใจ
บางช่วงที่เอ่ยถึงภรรย าน้ำเสียง และแววตาแสดงให้รู้ว่า
ยังมีความทรงจำเหลืออยู่ ใครต่อใครต่างสงสัยว่า
ผู้ชายที่ใช้ชีวิตบั้นปลายแต่เพียงลำพัง ขาดคนรู้ใจ
จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาบ้างเชียวหรือ คำกล่าวที่ว่า
“โสด…แต่สุข”นั้นเป็นอย่างไร อาหนิงเล่าว่า… หลังจากภรรย าผม
จากไปเมื่อปี 39 จากนั้นก็หยุดรับงาน เงิ นเลยหมด ตั้งใจว่าจะไปขา ยบ้าน
ที่ซื้อไว้ที่ต่างประเทศ แต่บ้านไม่เหมือนข้าวแกงจะได้ขา ยกันได้ง่ายๆ
ผมไปเดือนสิงหาฯ แต่กว่าจะข ายได้ ก็เดือนกุมภาฯทีนี้ ยังไงไม่รู้
ผมไปซื้อบ้านต่ออีกหลัง แล้วอยู่ต่ออีกหกปี
โดยไม่ได้ทำงานอะไรเลยใช้ชีวิตแบบทุกวัน ตื่นขึ้นมาเพื่อรอพระอาทิตย์ตก
แล้วก็เข้านอน…คนที่ไม่เคยมีคนรักจะไม่รู้ หรอกว่าเวลาที่จากกัน
โดยไม่ทันได้สั่งลาสักคำมันเป็นอย่างไร เราอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี
ไม่ใช่จะไม่รู้สึกอะไรเลย หรือลืมได้ง่ายๆ จะให้ไม่รู้สึกอะไร
เลยได้อย่างไรเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของเราแล้ว หลุดออกไปเฉยๆ
กว่าจะกลับเข้าที่เข้าทาง มันไม่ง่ายแน่นอน ดังนั้นเวลาใครถามว่า
ทำไมถึงไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพียงลำพัง ผมไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้
ว่าไปทำอะไรแค่รู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่ แค่ครึ่งเดียว แต่อย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่
ผมเรียนรู้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาสวดมนต์ไหว้พระ ผมก็สวดอยู่
แต่ตอนนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ช่วยไม่ได้ คนจะมาบอกว่าเศร้า ฟุ้งซ่าน
ก็ไปนุ่งขาวห่มขาวปฎิบัติธรรม ซึ่งผมว่านั่นเป็นแฟชั่น
ตอนนั้นผมรู้ว่า ไม่มีอะไรจะช่วยได้ ต้องนิ่งอย่างเดียว
จะบอกว่าให้ไปฟังธรรมปฎิบัติธรรม แล้วจะทำให้ทุกข์หาย
ก็คงไม่จริงหรอก เพราะเวลาที่ทุกอย่างในหัว มันปั่นป่วน
เวลานั้นเราไม่สามารถ ปลงอะไรได้หรอก สิ่งที่ดีที่สุด
ที่จะทำได้คือต้องปล่อยมันไป ผมจึงใช้วิธีปล่อย
ให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ วันนี้คิดมาก พรุ่งนี้ก็คิดให้น้อยลงมาหน่อย
เวลาเท่านั้นที่จะช่วยได้ ไม่มีผู้วิเศษคนไหน ที่จะทำให้ทุกข์หายทันที
ธรรมะก็เหมือนกันต้องใช้เวลา ไม่มีใครหรอกที่จะนำธรรมะ
มาช่วยได้ทั้งหมดในทันที…!! เวลาจะค่อยๆทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
สำหรับคุณนิรุตติ์ ชีวิตแต่งงานกับชีวิตโสด แบบไหนดีกว่ากัน…?
ผมคิดว่า ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร เพราะมีสิ่งที่ขาดไป กับสิ่งที่ได้เพิ่มมาบางคน
คิดว่าอยู่คนเดียวสบายดี แต่สำหรับผม รู้สึกว่าขาดที่ปรึกษา
แม้แต่คุณแม่ เรายังคุยไม่ได้หมดทุกเรื่อง การอยู่คนเดียวทำให้
ขาดคนที่จะมาเเชร์ความคิด ความรู้สึกอย่างเช่น รถคันนั้นสวยจัง
ดอ กไม้ด อกนี้สวยดี เราพูดกับใครไม่ได้ ต้องพูดอยู่ในใจคนเดียว
สำหรับผมชีวิตคู่ไม่ได้อยู่เพื่อเซ็ กส์อย่างเดียว ยิ่งพอแต่งงานกันแล้ว
เรื่องนี้กลับกลายเป็นอันดับสุดท้ายของวัน คือตื่นขึ้นมาอย่างแรก
ต้องคุยกันก่อน ดื่มกาแฟทานอาหารเช้า ออกไปทำงาน ไปเที่ยว
หาอะไรกินด้วยกัน ถ้าใครคิดจะมีคู่เพื่อนนอนอย่างเดียว คงไม่ต้องแต่งงานก็ได้
ทุกคนสามารถอยู่กับใครก็ได้ แต่การอยู่กับสามี หรือภรรย า ต้องอยู่ด้วยความรู้สึก
ความผูกพันธ์ไม่ใช่หน้าที่ คู่ไหนบอกว่า อยู่ด้วยหน้าที่
ผมว่าไปไม่รอด ส่วนใหญ่เวลาผู้ใหญ่ให้พร
ท่านจะขอให้“รักและเข้าใจกัน” ซึ่งคำว่า“รัก”
เป็นนามธรรมมากมองไม่เห็น บางครั้งพูดเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น
แต่“เข้าใจ”เป็นเหตุและผลความเข้าใจสำคัญกว่า
ถ้าคุณเข้าใจผม คุณจะไม่มาเซ้าซี้ คุยในเวลาที่ผมต้องการอยู่คนเดียว
ผมว่าความเข้าใจสำคัญ เพราะทำให้คนเรารักกันมากยิ่งขึ้น
ถามว่าตอนนี้อย ากมีใครไหม ผมก็อย ากมีคนเข้าใจ แต่กลัวมีแล้ว
เขาจากไปก่อน ถ้าจะมาเป็นภรรย าผม สัญญาได้ไหมว่า จะไม่จากไปก่อนผม
ไม่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนแบบเดิมอีก แต่จริงๆแล้ว ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร
ในการอยู่อย่างนี้ เพราะอายุก็มากแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร
ถึงจะอยู่คนเดียว แต่ก็ยังมีความสุขได้…? ผมมีความรักและความเข้าใจ
จากเพื่อนร่วมงาน เวลาไปกองถ่าย แค่ได้ซื้อขนมมากินด้วยกัน
ก็มีความสุขแล้ว บางครั้งผมอยู่โป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี มีงานถ่ายที่
เมืองกาญจน์ก็ได้ไปเจอ ผู้ร่วมงานใหม่ๆ หรือไปเขาใหญ่ ก็ได้เจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง
ขับรถกลับบ้านโป่งน้ำร้อน เจอเจดีย์3องค์ เป็นเจดีย์เก็บอัฐิของคุณแม่ คุณย่ารวมถึง
คุณอรวรรณ ผมก็มีความสุขที่ได้นั่งคุยกับเขา เขาจะได้ยินผมหรือเปล่าไม่รู้
แต่ผมไม่ได้ยินเขาแน่ (หัวเราะ)หรือแค่มีสุนัขอีกตัว นั่งอยู่ข้างๆก็มีความสุขแล้ว
ผมไม่ยึดติดว่า ความสุขต้องเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว ทำให้ยิ้มได้เท่านั้น
ความสุขของผมเกิดขึ้น ได้ทุกวันทุกเวลา แล้วแต่ว่าจะไปเจอะเจอใคร
หรือทำอะไร หรือไปอยู่ในสถานที่ไหน ความสุขที่ผ่านมา ผมไม่เคยจำ
ส่วนความทุกข์ที่ผ่านมาก็ทิ้งไปหมด ทุกวันนี้เราก็มีความสุขได้
แค่ตื่นเช้าขึ้นมา ได้ดื่มน้ำดีๆ ดื่มกาแฟอร่อยๆ หอมๆ ก็มีความสุขแล้ว
ต้องเข้าใจสัจธรรมว่า ความสุขความทุกข์ ไม่อยู่กับเรานาน เดี๋ยวเดียวก็ผ่านมา
แล้วก็ผ่านไป เหมือนกลางคืนกับกลางวันสลับๆกันไป เพราะฉะนั้น
ชีวิตเราจึงควรปนไปด้วยสุข และทุกข์ไม่มีอะไรจีรัง ไม่มีอะไรจะอยู่กับเราได้ตลอดไป
แม้กระทั่งตัวเราเอง บางคนบอกว่า“งานทำให้มีความสุข” ซึ่งผมไม่รู้สึกอย่างนั้นทั้งหมด
งานไม่ได้ทำให้เรามีความสุข แต่เราต่างหาก ที่บังคับจิตใจของเราให้“มีความสุขกับงาน”
ตัวงานจริงๆมีความเครียดต้องคิด มีปัญหาให้เราแก้ไข แต่เราจะมองงานนั้นอย่างไร
อย่างดารานักร้องถามว่า ต้องขึ้นคอนเสิร์ตขึ้นเวที ทุกวันร้องเพลงเดิมซ้ำๆเป็นปีๆ
ตอนแรกก็อาจสนุก แต่นานๆไปก็เริ่มเบื่อ แต่ก็ต้องทำเพื่อสร้างความสนุกให้กับแฟนคลับ
ตอนนั้นหมอมีความสุขไหม…คงไม่ แต่จะมีความสุขต่อเมื่อ
เห็นคนที่มาดูเรา มีความสุขสนุกไปกับเรา ได้เห็นรอยยิ้มเขา
ผลจากงานมากกว่า ที่ทำให้เรามีความสุข เพราะได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
จะมีวันที่เกษียณจากวงการไหม…?
โชคดีว่าอาชีพนักแสดง ไม่มีวันเกษียณ เพราะการแสดง
เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคน ทำให้ต้องมีนักแสดง ตั้งแต่เล็ก
จนถึงวัยคุณปู่ ฉะนั้นถ้ายึดอาชีพนี้เป็นหลัก
ก็คงไม่มีคำว่าเกษียณ เพราะถ้ายังมีความสุข
กับงานก็ทำไปได้ตลอด แม้การเป็นนักแสดง
จะเหนื่อยไม่ต่างกับชีวิตเกษตรกร ต้องรอฟ้ารอฝน
รอแดด บางฉากก็ต้องรอสภาพอากาศ พร้อมสำหรับการถ่ายทำ
แต่ถ้าทำใจให้มีความสุข เข้าใจธรรมชาติ เราก็ไม่หงุดหงิดไม่ทุกข์
ส่วนการเตรียมการในเรื่องเงิ นๆทองๆนั้น ได้เงิ นมาก็เก็บเข้าธนาคาร
ไม่ได้บริหารหรือแบ่งสัดส่วนอะไร เก็บไว้ทั้งหมด เวลาใช้ก็ใช้เท่าที่จำเป็น
เพราะรู้ว่าอย่างน้อย เราควรจะมีเ งินเหลือไว้บ้าง จินตนาการถึงนิรุตติ์ศิริจรรย า
ในวันที่อายุครบ 80 ปี ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดว่า จะมีอายุถึงเท่าไร
ไม่เคยคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่ แต่พออายุเลย 40 มาถึงสัก 50–60 ปี
กลับเริ่มคิด ผมไม่ได้กลัวความต าย แต่คิดว่าเราจะอยู่ได้สักกี่ปีนะ
ตอนนี้พออายุ 62 ผมก็เริ่มคิดแล้วว่า อาจจะจากโลกนี้ไปวันนี้
พรุ่งนี้หรือเปล่า ก็หมั่นตรวจเช็คร่างกายตัวเองว่าเจ็บตรงไหน
ปวดตรงไหนเป็นอะไรหรือเปล่า
แต่ทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่ผมอย ากทำอีกแล้ว เหลือแต่ทำตัวเรา
ให้เป็นตัวของตัวเอง และทำตัวให้เป็นประโยชน์ กับคนอื่นก็เท่านั้นเอง…
เคล็ดลับของการอยู่เป็นโสด…แต่มีความสุข ในแบบของคุณอานิรุตติ์ศิริจรรย า…
รู้จักเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ จากสิ่งใกล้ตัว เช่น อาหารอร่อยๆ เพื่อนร่วมงานดีๆ
ธรรมชาติที่สวยงาม ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เพื่อรบกวนตัวเอง และคนอื่นให้น้อยที่สุด
แบ่งเวลาทำประโยชน์ เพื่อสังคม เข้าใจสัจธรรมของชีวิตว่าทุกข์สุขไม่จีรัง
เพื่อละวางจากความยึดติด ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย เพื่อความสำเร็จของงาน
ให้ความสำคัญ และมีความสุขกับผลของงานมากกว่าตัวงานที่ต้องทำ
ขอบคุณ 108resources